แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผลไม้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผลไม้ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ไม้ผลในเมืองกับการควบคุมระบบราก

      ไม้ผลในเมืองกับการควบคุมระบบราก

นิทรรศการงานเกษตรแห่งชาติ  ประจำปี  2544

จัดทำโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รวี  เสรฐภักดี

ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน สถาบันวิจัยและพัฒนา  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

2 – 10 กุมภาพันธ์  2544


ไม้ผลในเมืองกับการควบคุมระบบราก
ผศ.ดร.รวี   เสรฐภักดี  

   การ เติบโตของเขตชุมชนในเขตเมืองทำให้พื้นที่อยู่อาศัยของบ้านเรือนประชาชนมี ขนาดที่เล็กลง อันเป็นผลจากราคาที่ดินที่สูงมาก ในขณะเดียวกัน  ความต้องการต้นไม้เพื่อใช้เป็นอาหารของตาและความผ่อนคลายทางด้านจิตใจก็ยัง คงมีอยู่ในเกือบทุกบุคคล   จากสภาพการณ์ที่พื้นที่ถูกจำกัดจนมีขนาดเล็กลงอย่างมากนี้  ทำให้การปลูกไม้ผลซึ่งโดยปกติมักมีพุ่มต้นค่อนข้างใหญ่  จึงทำให้ยากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม  พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้  หากได้มีการปรับรูปแบบของการปลูกและดูแลรักษาให้เหมาะสมแล้วก็ย่อมที่จะมี ต้นไม้ที่สวยงามได้เช่นกัน โดยมีหลักการสำคัญๆ ที่ควรต้องคำนึงถึง ดังนี้

  1. ภาชนะ  อาจใช้กระถางขนาดกลางถึงใหญ่  เช่น ขนาด 20 นิ้ว (50 ซม.) หรือใช้ห่วงซีเมนต์ขนาด 80, 100 หรือ 120 ซม. สิ่งซึ่งควรคำนึงถึงการใช้ภาชนะเหล่านี้คือ  ช่องทางระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง

 2. วัสดุปลูกชนิด ของวัสดุปลูกอาจผสมเองขึ้นมาโดยอาศัยวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างมากมายในประเทศ ไทยและมีราคาถูก เช่น ขุยมะพร้าว (coconut coir) ถ่านแกลบ (มีสีดำซึ่งต่างจากขี้เถ้าแกลบที่มีสีขาวปนเทา) (charred husk )  แกลบดิบ (rice husk ) และทราย (sand)  นอกจากนี้อาจใช้วัสดุอื่น เช่น พีทมอส (peat moss)  เพอร์ไลท์  (perlite) หรือเวอร์มิคิวไลท์  (vermiculite) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม  ควรคำนึงถึงราคาของวัสดุแต่ละชนิดด้วย ในทางปฏิบัติแล้ว หากมีความยุ่งยากก็อาจใช้ดินผสมสำเร็จรูปก็ได้ แต่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับคุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้ผสมด้วย

3. สัดส่วนของวัสดุ คุณสมบัติของความสามารถในการอุ้มน้ำของวัสดุแต่ละชนิดย่อมแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การใช้สัดส่วนของวัสดุปลูกชนิดต่างๆ กันก็ย่อมมีผลต่อการอุ้มน้ำและการระบายน้ำของวัสดุโดยตรงซึ่งย่อมส่งผลต่อ การเจริญเติบโตของระบบรากอย่างแน่นอน  สัดส่วนที่มีขุยมะพร้าวและถ่านแกลบสูงจะมีการอุ้มน้ำที่ดีขึ้น  ความถี่ของการให้น้ำจึงสามารถเว้นช่วงได้ยาวนานมากขึ้นซึ่งเหมาะสมต่อช่วง ฤดูแล้ง ในทางกลับกัน  หากวัสดุสามารถอุ้มน้ำได้สูงและมีฝนตกชุกต่อเนื่องหรือมีการให้น้ำมากจนเกิน ควร ก็อาจเกิดภาวะน้ำขัง (waterlogging) ของระบบรากได้  รากขาดออกซิเจน  มีอาการใบเหลือง ร่วงหล่น ผลหลุดร่วง ต้น ทรุดโทรมและตายได้ในที่สุด หากสัดส่วนของวัสดุมีทรายในปริมาณที่สูงขึ้น  การระบายน้ำก็จะดียิ่งขึ้น  มีโอกาสชักนำให้เกิดการออกดอกได้ง่ายขึ้น  ในขณะที่ความถี่ของการให้น้ำก็จำเป็นต้องเพิ่มให้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

4. การจัดวางระบบน้ำ  เนื่องจากการปลูกไม้ผลเหล่านี้ กระทำกันในชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด บ้านเรือนส่วนใหญ่มีระบบน้ำประปาทุกครัวเรือน  การให้น้ำกับพืชที่ปลูกจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง มิฉะนั้นแล้วต้นไม้อาจชะงักการเจริญเติบโตได้ ผลอาจแคระแกรนและหลุดร่วงได้   การให้น้ำนี้นับเป็นความน่าเบื่อหน่ายของหลายท่าน แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องกระทำ  เมื่อเป็นดังนั้นแล้วจึงควรที่จะจัดวางระบบการให้น้ำที่ช่วยบรรเทาในสิ่ง เหล่านี้ได้  ซึ่งอาศัยแรงดันจากก๊อกน้ำภายในบ้านและจัดวางโดยอาจใช้หัวชนิดพ่นฝอย (mini-sprinkler) หรือหัวผีเสื้อ หรือหัวน้ำหยด (drip nozzle)  ก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

5. ชนิดของไม้ผลที่ต้องการปลูก เนื่องจากสภาพของพื้นที่ที่จำกัด จึงควรหลีกเลี่ยงไม้ผลขนาดใหญ่ที่    ควบคุมทรงพุ่มได้ยาก เช่น ทุเรียน มังคุด ขนุน และกระท้อน เป็นต้น  ชนิดของไม้ผลที่ปลูกได้ดีในภาชนะและพื้นที่ที่จำกัด ได้แก่  ฝรั่ง  น้อยหน่า  มะม่วง  ชมพู่ ทับทิม มะนาว  ส้มจี๊ด บาร์บาโดสเชอรี่ (acerola) ละมุด ลำไย มะเฟือง  มะกรูด  เป็นต้น

6. การควบคุมทรงพุ่ม จากสภาพของพื้นที่ที่จำกัดดังกล่าว  การควบคุมขนาดของต้นไม้จึงจำเป็นต้องเตรียมการไว้แต่เริ่มแรก  โดยกำหนดขนาดของพุ่มต้นที่ต้องการไว้  เช่น  3.5  เมตร 4 เมตรหรือ 5 เมตร  การปลูกในภาชนะที่มีปริมาตรจำกัด ก็เป็นทางหนึ่งของการควบคุมระบบรากไปในตัวด้วย  ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมทรงพุ่มด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้  เพราะในส่วนของระบบรากและส่วนยอดนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (root-shoot interrelationship) ในทางกลับกันการควบคุมทรงพุ่มก็ส่งผลต่อการควบคุมปริมาณรากด้วยเช่นกัน  ดังนั้น  จึงควรกระทำการจัดโครงสร้างของกิ่ง (training) โดยการโน้มกิ่งลง  หรือการตัดแต่ง (pruning) เพื่อควบคุมปริมาณของกิ่งและลดการเจริญของกิ่งที่จะเจริญขึ้นในแนวดิ่ง (โดยวิธีการตัดยอดเพื่อกระตุ้นให้แตกตาข้าง) ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ในการควบคุมทรงพุ่มให้ได้ตามขอบเขตของขนาดที่ได้วางเป้าหมายไว้

7. สภาพแวดล้อม ต้นไม้สร้างอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเท่านั้น  ดังนั้นหากปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงามากมีการบดบังแสงจากอาคารเป็นส่วนใหญ่ แล้ว ย่อมส่งผลให้ต้นไม้เติบโตช้าลง ต้นอาจยืดยาวไม่แข็งแรง  โอกาสที่จะออกดอกและติดผลย่อมลดลงตามไปด้วย


ความ สุขอื่นใด จะมาเปรียบเทียมเท่ากับการได้เก็บเกี่ยวผลไม้ผลแรกที่ปลูกด้วยมือตนเอง แม้ราคาจะเพียงน้อยนิด แต่คุณค่าทางจิตยากที่จะประมาณการได้

ขอกราบ ขอบพระคุณ ท่าน รศ.ดร.รวี เสรฐภักดี ที่กรุณาอนุญาตให้นำผลงานเขียนของท่านมาเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์กับ เกษตรกรและผู้ที่สนใจครับ
*หมายเหตุ* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เป็นตำแหน่งในขณะนั้นครับ

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง

มะม่วงสายพันธุ์ใหม่ "มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง" ไม่ได้พ่นสีหรือย้อมสีแต่อย่างไร !


ของแท้ต้องแบบนี้ ! มะม่วงสายพันธุ์ใหม่ "มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง" ไม่ได้พ่นสีหรือย้อมสีแต่อย่างไร !
เพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมว่าผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ ทำไมมันจึงมีชื่อเรียกที่บางทีก็ไม่ค่อยเข้ากับลักษณะของมัน อย่างเช่น มะม่วง ทำไมถึงเป็นสีเขียว...แต่ว่าต่อไปนี้ ทุกคนไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป เพราะตอนนี้เกษตรกรที่จังหวัดนนทบุรี สามารถเพาะพันธุ์มะม่วงที่มีสีม่วงจริง ๆ ได้แล้วล่ะ



โดยเฟซบุ๊กเพจ ดร.พนม ปีย์เจริญ Official ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้เพาะพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้ชนิดใหม่ที่มีลักษณะพิเศษคือ ลักษณะของผลจะเป็นสีม่วง โดยมะม่วงสีม่วงนี้เกิดจากการผสมเกสรของมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ปากน้ำ กับมะม่วงหงจูของไต้หวัน และนำไปเพาะปลูกจนทดสอบมั่นใจแล้วว่า มะม่วงพันธุ์ใหม่นี้ คือมะม่วงที่มีสีม่วงจริง ๆ โดยตั้งชื่อพันธุ์ว่า มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง นั่นเอง



"มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง" กับที่มาสายพันธุ์
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ของ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ด้วยวิธีผสมเกสร ระหว่างมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ปากน้ำ กับมะม่วงหงจูของไต้หวัน จากนั้นนำเอาเมล็ดที่ได้จากผลสุกหลายเมล็ด ไปเพาะเป็นต้นกล้าปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าผลดกมาก รูปทรงผลเหมือนกับผลมะม่วงน้ำดอกไม้พันธุ์พ่อ ส่วนสีผลไม่เป็นสีเขียว แต่จะเป็นสีม่วงตั้งแต่ติดผลอ่อนขนาดเล็ก กระทั่งผลแก่และสุกคล้ายสีของมะม่วงหงจู ซึ่งเป็นพันธุ์แม่ และสีจะเข้มกว่าอย่างชัดเจน ทำให้ดูสวยงามมาก ทางศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรฯ ได้ปลูกทดสอบพันธุ์จนมั่นใจว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่อย่างแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อประจำพันธุ์ว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขาย กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้
มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง มีข้อโดดเด่นคือ ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง 0.8-1.2 กิโลกรัมต่อผล ผลดิบรสเปรี้ยวไม่มากนัก ปอกเปลือกฝานบาง ๆ จิ้มพริกเกลือป่น หรือจิ้มน้ำปลาหวานอร่อยดี ผลสุกหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ เมล็ดบางเล็ก เนื้อเหนียวแน่นไม่เละ กินกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยได้คุณค่าทางโภชนาการไม่แพ้มะม่วงกินสุกทั่วไปแม้แต่น้อย เป็นมะม่วงติดผลเรื่อย ๆ เกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ใคร ต้องการกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอด ติดต่อศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โทร. 08–1806–5513

ข้อมูลและภาพจาก kapook

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มะพูด




Yellow mangosteen
ชื่อวิทยาศาสตร์Garcinia dulcis (Roxb.) Kurz
วงศ์Clusiaceae
ประเภท: ไม้ต้น
ความสูง: สูง 5 – 9 เมตร
ทรงพุ่ม: กลม แน่นทึบ
ลำต้นเปลือกต้นสีน้ำตาลปนเขียว มีรอยแตกตามยาว ทุกส่วนมีน้ำยางสีเหลือง
ใบ: เดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปใบหอกหรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง 9 – 12 เซนติเมตร ยาว 17 – 25 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบมนคล้ายรูปหัวใจ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง สีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอก: ช่อดอกเป็นช่อกระจุกออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 – 1.2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 4 กลีบ กลีบดอกสีขาว ออกดอกเดือนเมษายน – พฤษภาคม

ผล: ติดผลช่วงเดือนพฤษภาคม -มิถุนายน ผลสดทรงกลมหรือรูปไข่ เมื่อสุกมีสีเหลือง เนื้อนุ่ม ภายในมีเมล็ดแข็งแบน 2 – 5 เมล็ด


ดินดินเหนียวชุ่มชื้น มีอินทรียวัตถุสูง
แสงแดด: ครึ่งวัน
น้ำ: ปานกลาง
ขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด
การใช้งานและอื่นๆเหมาะปลูกตามริมน้ำ ผลมีรสเปรี้ยวอมหวานกินเป็นผลไม้พื้นบ้าน หรือทำแยม

มะม่วงมหาชนก





 Mango
ชื่อวิทยาศาสตร์: Mangifera indica L.
วงศ์: Anacardiaceae
ประเภท: ไม้ต้น
ความสูง: สูงกว่า 10 เมตร
ลำต้น: มีเนื้อไม้ ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางใส เมื่อแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ำ
ใบ: ใบเดี่ยว รูปใบหอกแกมรูปรี กว้าง 3 – 3.5 เซนติเมตร ยาว 15 – 25 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ แผ่นใบหนา สีเขียวเป็นมัน
ดอก: ช่อดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกเพศผู้บนช่อเดียวกัน สีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม
ผล: เมื่อแก่มีสีแดงเรื่อ เนื้อสีเหลืองสดมีรสหวาน หนึ่งผลมีเมล็ดเดียว

ดิน: ดินร่วนระบายน้ำดี
น้ำ: ปานกลาง
แสงแดด: ตลอดวัน
ขยายพันธุ์: ทาบกิ่ง
การใช้งานและอื่นๆ: เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ตามธรรมชาติระหว่างมะม่วงพันธุ์ Sunset กับมะม่วงหนังกลางวัน แล้วนำเมล็ดมาปลูกที่สวนวังน้ำลี้ จังหวัดลำพูน เมื่อปี พ.ศ. 2529 จนในปี พ.ศ. 2533 จึงออกผลเป็นครั้งแรก โดยมีลักษณะเด่นของทั้งสองพันธุ์รวมกันคือ ผลอวบใหญ่สีแดงเรื่อ เมล็ดเล็ก เนื้อแน่น มีรสหวานอร่อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อว่า มะม่วงมหาชนก