วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ไม้ผลในเมืองกับการควบคุมระบบราก

      ไม้ผลในเมืองกับการควบคุมระบบราก

นิทรรศการงานเกษตรแห่งชาติ  ประจำปี  2544

จัดทำโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รวี  เสรฐภักดี

ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน สถาบันวิจัยและพัฒนา  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

2 – 10 กุมภาพันธ์  2544


ไม้ผลในเมืองกับการควบคุมระบบราก
ผศ.ดร.รวี   เสรฐภักดี  

   การ เติบโตของเขตชุมชนในเขตเมืองทำให้พื้นที่อยู่อาศัยของบ้านเรือนประชาชนมี ขนาดที่เล็กลง อันเป็นผลจากราคาที่ดินที่สูงมาก ในขณะเดียวกัน  ความต้องการต้นไม้เพื่อใช้เป็นอาหารของตาและความผ่อนคลายทางด้านจิตใจก็ยัง คงมีอยู่ในเกือบทุกบุคคล   จากสภาพการณ์ที่พื้นที่ถูกจำกัดจนมีขนาดเล็กลงอย่างมากนี้  ทำให้การปลูกไม้ผลซึ่งโดยปกติมักมีพุ่มต้นค่อนข้างใหญ่  จึงทำให้ยากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม  พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้  หากได้มีการปรับรูปแบบของการปลูกและดูแลรักษาให้เหมาะสมแล้วก็ย่อมที่จะมี ต้นไม้ที่สวยงามได้เช่นกัน โดยมีหลักการสำคัญๆ ที่ควรต้องคำนึงถึง ดังนี้

  1. ภาชนะ  อาจใช้กระถางขนาดกลางถึงใหญ่  เช่น ขนาด 20 นิ้ว (50 ซม.) หรือใช้ห่วงซีเมนต์ขนาด 80, 100 หรือ 120 ซม. สิ่งซึ่งควรคำนึงถึงการใช้ภาชนะเหล่านี้คือ  ช่องทางระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง

 2. วัสดุปลูกชนิด ของวัสดุปลูกอาจผสมเองขึ้นมาโดยอาศัยวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างมากมายในประเทศ ไทยและมีราคาถูก เช่น ขุยมะพร้าว (coconut coir) ถ่านแกลบ (มีสีดำซึ่งต่างจากขี้เถ้าแกลบที่มีสีขาวปนเทา) (charred husk )  แกลบดิบ (rice husk ) และทราย (sand)  นอกจากนี้อาจใช้วัสดุอื่น เช่น พีทมอส (peat moss)  เพอร์ไลท์  (perlite) หรือเวอร์มิคิวไลท์  (vermiculite) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม  ควรคำนึงถึงราคาของวัสดุแต่ละชนิดด้วย ในทางปฏิบัติแล้ว หากมีความยุ่งยากก็อาจใช้ดินผสมสำเร็จรูปก็ได้ แต่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับคุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้ผสมด้วย

3. สัดส่วนของวัสดุ คุณสมบัติของความสามารถในการอุ้มน้ำของวัสดุแต่ละชนิดย่อมแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การใช้สัดส่วนของวัสดุปลูกชนิดต่างๆ กันก็ย่อมมีผลต่อการอุ้มน้ำและการระบายน้ำของวัสดุโดยตรงซึ่งย่อมส่งผลต่อ การเจริญเติบโตของระบบรากอย่างแน่นอน  สัดส่วนที่มีขุยมะพร้าวและถ่านแกลบสูงจะมีการอุ้มน้ำที่ดีขึ้น  ความถี่ของการให้น้ำจึงสามารถเว้นช่วงได้ยาวนานมากขึ้นซึ่งเหมาะสมต่อช่วง ฤดูแล้ง ในทางกลับกัน  หากวัสดุสามารถอุ้มน้ำได้สูงและมีฝนตกชุกต่อเนื่องหรือมีการให้น้ำมากจนเกิน ควร ก็อาจเกิดภาวะน้ำขัง (waterlogging) ของระบบรากได้  รากขาดออกซิเจน  มีอาการใบเหลือง ร่วงหล่น ผลหลุดร่วง ต้น ทรุดโทรมและตายได้ในที่สุด หากสัดส่วนของวัสดุมีทรายในปริมาณที่สูงขึ้น  การระบายน้ำก็จะดียิ่งขึ้น  มีโอกาสชักนำให้เกิดการออกดอกได้ง่ายขึ้น  ในขณะที่ความถี่ของการให้น้ำก็จำเป็นต้องเพิ่มให้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

4. การจัดวางระบบน้ำ  เนื่องจากการปลูกไม้ผลเหล่านี้ กระทำกันในชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด บ้านเรือนส่วนใหญ่มีระบบน้ำประปาทุกครัวเรือน  การให้น้ำกับพืชที่ปลูกจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง มิฉะนั้นแล้วต้นไม้อาจชะงักการเจริญเติบโตได้ ผลอาจแคระแกรนและหลุดร่วงได้   การให้น้ำนี้นับเป็นความน่าเบื่อหน่ายของหลายท่าน แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องกระทำ  เมื่อเป็นดังนั้นแล้วจึงควรที่จะจัดวางระบบการให้น้ำที่ช่วยบรรเทาในสิ่ง เหล่านี้ได้  ซึ่งอาศัยแรงดันจากก๊อกน้ำภายในบ้านและจัดวางโดยอาจใช้หัวชนิดพ่นฝอย (mini-sprinkler) หรือหัวผีเสื้อ หรือหัวน้ำหยด (drip nozzle)  ก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

5. ชนิดของไม้ผลที่ต้องการปลูก เนื่องจากสภาพของพื้นที่ที่จำกัด จึงควรหลีกเลี่ยงไม้ผลขนาดใหญ่ที่    ควบคุมทรงพุ่มได้ยาก เช่น ทุเรียน มังคุด ขนุน และกระท้อน เป็นต้น  ชนิดของไม้ผลที่ปลูกได้ดีในภาชนะและพื้นที่ที่จำกัด ได้แก่  ฝรั่ง  น้อยหน่า  มะม่วง  ชมพู่ ทับทิม มะนาว  ส้มจี๊ด บาร์บาโดสเชอรี่ (acerola) ละมุด ลำไย มะเฟือง  มะกรูด  เป็นต้น

6. การควบคุมทรงพุ่ม จากสภาพของพื้นที่ที่จำกัดดังกล่าว  การควบคุมขนาดของต้นไม้จึงจำเป็นต้องเตรียมการไว้แต่เริ่มแรก  โดยกำหนดขนาดของพุ่มต้นที่ต้องการไว้  เช่น  3.5  เมตร 4 เมตรหรือ 5 เมตร  การปลูกในภาชนะที่มีปริมาตรจำกัด ก็เป็นทางหนึ่งของการควบคุมระบบรากไปในตัวด้วย  ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมทรงพุ่มด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้  เพราะในส่วนของระบบรากและส่วนยอดนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (root-shoot interrelationship) ในทางกลับกันการควบคุมทรงพุ่มก็ส่งผลต่อการควบคุมปริมาณรากด้วยเช่นกัน  ดังนั้น  จึงควรกระทำการจัดโครงสร้างของกิ่ง (training) โดยการโน้มกิ่งลง  หรือการตัดแต่ง (pruning) เพื่อควบคุมปริมาณของกิ่งและลดการเจริญของกิ่งที่จะเจริญขึ้นในแนวดิ่ง (โดยวิธีการตัดยอดเพื่อกระตุ้นให้แตกตาข้าง) ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ในการควบคุมทรงพุ่มให้ได้ตามขอบเขตของขนาดที่ได้วางเป้าหมายไว้

7. สภาพแวดล้อม ต้นไม้สร้างอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเท่านั้น  ดังนั้นหากปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงามากมีการบดบังแสงจากอาคารเป็นส่วนใหญ่ แล้ว ย่อมส่งผลให้ต้นไม้เติบโตช้าลง ต้นอาจยืดยาวไม่แข็งแรง  โอกาสที่จะออกดอกและติดผลย่อมลดลงตามไปด้วย


ความ สุขอื่นใด จะมาเปรียบเทียมเท่ากับการได้เก็บเกี่ยวผลไม้ผลแรกที่ปลูกด้วยมือตนเอง แม้ราคาจะเพียงน้อยนิด แต่คุณค่าทางจิตยากที่จะประมาณการได้

ขอกราบ ขอบพระคุณ ท่าน รศ.ดร.รวี เสรฐภักดี ที่กรุณาอนุญาตให้นำผลงานเขียนของท่านมาเผยแพร่เพื่อให้เป็นประโยชน์กับ เกษตรกรและผู้ที่สนใจครับ
*หมายเหตุ* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เป็นตำแหน่งในขณะนั้นครับ

หลักการของผู้ที่ต้องการเป็นเกษตรกร

หลักการของผู้ที่ต้องการเป็นเกษตรกร

ได้ ไปอ่านมาจากเวป kasetporpeang.com ครับ เห็นว่ามีประโยชน์กับผู้ที่กำลังมองและอยากลองทำอาชีพเกษตรกรแบบผม แต่ยังมือใหม่ทำอะไรและคิดอะไรไม่เป็นเลย จะได้มีหลักและวิธีการคิดที่เหมาะเอาไปประยุกต์ให้เข้ากับตัวเองและสามารถทำ อาชีพนี้ได้อย่างยั่งยืน ลองอ่านดูครับ มีประโยชน์มาก

ข้อคิด...สำหรับผู้ที่อยากเป็นเกษตรกร โดยคุณสวนวสา



เรียน ว่าที่เกษตรกร เกษตรกรมือใหม่เอี่ยม และเกษตรกร part-time ทุกท่าน

จาก ที่เราได้คุยกับว่าที่เกษตรกรและเกษตรกรมือใหม่หลายท่านที่มาติดต่อซื้อ เมล็ดพันธุ์ กิ่งพันธุ์ และท่อน้ำหยดจากสวนวสา ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เลยต้องขออนุญาตเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้ว่าที่เกษตรกรและเกษตรกรมือ ใหม่ไฟแรงหลายๆท่านลองพิจารณาเป็นข้อคิดก่อนจะลงมือทำอะไรไป เพราะการลงทุนในสาขาการเกษตรนั้น ไม่ว่าจะเพื่อหวังผลกำไร หรือแค่หวังเพื่อใช้เวลาว่างทำงานอดิเรกปลูกต้นไม้ ทุกอย่างที่ลงไปก็เป็นเงินทองที่เราเก็บหอมรอมริบมาทั้งนั้น หากลงทุนไปโดยขาดการไตร่ตรองล่วงหน้า หรือขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ เมื่อเกิดผลเสียหาย ผลขาดทุน ความยุ่งยากที่ตามมามักทำให้เกษตรกรมือใหม่หลายคนท้อแท้ และเลิกไปในที่สุด ซึ่งทางสวนวสาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เราไม่อยากให้อาชีพเกษตรกรหายไปจากประเทศไทย ตรงกันข้ามเราอยากให้มีเกษตรกรรุ่นใหม่เกิดขึ้นมามากๆ คนที่มีการวางแผน มีการควบคุมผลผลิตที่มีคุณภาพ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพของโลก

ที่ดิน

การ จะเริ่มทำการเกษตรได้นั้นเราควรมีที่ดินเป็นของตัวเอง แต่ก่อนจะลงมือซื้อที่ดินผืนใด ขออนุญาตให้ข้อคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่สำคัญก่อนซื้อที่ดินเพื่อทำการเกษตร ดังนี้

1. ในที่ดินต้องมีแหล่งน้ำหรือติดกับแหล่งน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งปี เพราะการซื้อที่ดินที่ไม่มีน้ำ ก็เท่ากับไม่มีประโยชน์ในเชิงเกษตร แหล่งน้ำที่ว่านี้อาจจะเป็นคลองชลประทาน อ่างเก็บน้ำ คลองธรรมชาติ แม่น้ำ ฯลฯ ถ้าเป็นที่ผืนใหญ่ไม่ควรเป็นน้ำบาดาล เพราะอาจมีปริมาณไม่พอเพียงและอาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการตะกอนใน ภายหลัง

2. ที่ดินควรใกล้กับถนน และไม่ไกลจากบ้านที่อยู่ประจำของคุณมากนัก การไปมาทำได้ง่าย เมื่อการเดินทางสะดวก ก็ทำให้เรารู้สึกอยากไปเยือนบ่อยๆ โดยเฉพาะเกษตรกร part-time ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไปทำสวนได้เฉพาะวันหยุด หากคุณต้องขับรถ 500 กม. เพื่อไปสวนในวันเสาร์ และขับกลับอีก 500 กม. ในวันอาทิตย์ คุณจะเหนื่อยและท้อไปในที่สุด ระยะทางที่เหมาะสมน่าจะไม่เกิน 200 กม. จากบ้านคุณ อย่างไรก็ตามปัจจัยเรื่องระยะทางนี้ขึ้นกับทุนและความชอบส่วนบุคคล นอกจากนี้ราคาน้ำมันก็เป็นปัจจัยสำคัญด้วย คำนวณค่าน้ำมันคร่าวๆ ว่าระยะทาง 200 กม. รถคุณกินน้ำมันเฉลี่ย 8 กิโลลิตร น้ำมันลิตรละ 30 บาท ไป-กลับ จะมีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าน้ำมัน 1,500 บาทต่อเที่ยว เดือนหนึ่งไป 4 ครั้งก็ประมาณ 6,000 บาท ปีละ 72,000 บาท เทียบกับราคาที่ดินที่อาจจะแพงกว่าแต่ใกล้กว่า อย่างไหนคุ้มกว่ากัน อันนี้ควรคำนวณให้รอบคอบ

3. ที่ดินควรใกล้ตลาดหรือชุมชน หรือผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อที่จะสามารถขนส่งผลผลิตเพื่อจำหน่ายได้โดยง่าย (หากคิดจะปลูกเพื่อจำหน่าย) เช่น อยากปลูกมะม่วงส่งออกแต่ผู้ปลูกอยู่ภาคใต้ ส่วนผู้ส่งออกอยู่ภาคเหนือและภาคกลาง อย่างนี้ ถ้าปลูกไม่มากพอก็จะไม่มีผู้ซื้อวิ่งไปซื้อแน่ๆ ค่าน้ำมันทุกวันนี้แพงมากๆ  จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผู้ซื้อมักจะถามก่อนว่าปลูกกี่ไร่ กี่ต้น ผลผลิตกี่ตัน (ถ้าไม่ถึง 4-5 ตัน ส่วนมากรายใหญ่เขาไม่วิ่งมา)

4. ควรมีเพื่อนบ้านและสังคมที่ดี ก่อนซื้อที่ดินควรลองไปสำรวจดูว่าเพื่อนบ้านมีอัธยาศัยเป็นอย่างไร ที่ดินบางผืนราคาถูกเพราะเพื่อนบ้านขี้ขโมย ผลผลิตอะไรออกมาหายหมด ติดตั้งปั๊มน้ำก็หาย บางทีเผลออาทิตย์เดียวบ้านทั้งหลังรื้อเอาไปขายก็มี ลองไปถามสถานีตำรวจในพื้นที่ดูว่าคดีลักขโมยมีแยะไหม ใครเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และทัศนคติเขาเป็นอย่างไร

5. ที่ดินควรมีต้นไม้ขึ้นอยู่ในที่บ้าง เพื่อแสดงว่าดินที่นี่ปลูกต้นไม้ได้ บางคนไปซื้อที่ดินที่เตียนโล่งแม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้น แล้วมาดีใจว่าไม่ต้องถางหญ้าปรับที่ดิน ซึ่งแท้ที่จริงเป็นดินเค็มที่เพาะปลูกอะไรไม่ได้ หากเป็นไปได้ลองสังเกตด้วยว่าต้นไม้ที่ขึ้นในที่ดินนั้นเป็นต้นอะไรเพื่อจะ ได้ทราบว่าที่ดินผืนนั้นเพาะปลูกผลไม้ชนิดใดได้ดีที่สุด

6. ที่ดินทำสวนเกษตรส่วนใหญ่ควรเป็นพื้นราบ เพราะหากเป็นที่ลาดชันเวลารดน้ำต้นไม้ น้ำจะไหลลงเบื้องล่างหมด หากต้องทำขั้นบันไดก็จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าที่ดินผืนราบ แต่หากจะปลูกไม้ยืนต้นพวกไม้ป่า ก็เป็นที่เนินเขาได้ ทั้งนี้ขึ้นกับพืชที่เลือกจะปลูก

7. ไม่ควรเป็นที่น้ำท่วมขัง ที่ดินบางผืนในช่วงฤดูฝนจะตรงกับแนวน้ำท่วมพอดี อย่างนี้ปลูกพืชอะไรก็ตายหมด เลี้ยงปลาก็หายหมด

8. ให้สำรวจหน้าดินของที่ดินที่ซื้อด้วยครับ พอดีวันนี้มีเพื่อนเกษตรกรโทรมาปรึกษา มีที่ดินแต่หน้าดินที่ปลูกพืชได้มีเพียง 2-3 เมตรลึกลงไปกว่านั้นกลายเป็นดินผสมหินแบบแข็งเลย รากพืชชอนไชลงไปไม่ได้ อย่างนี้คงต้องปลูกพืชที่มีระบบรากไม่ลึกมาก

การเลือกพืชที่จะเพาะปลูก

1. ก่อนจะปลูกอะไร กรุณาสำรวจสภาพดินและน้ำก่อนว่าเหมาะกับพืชในใจคุณหรือเปล่า อย่าบุ่มบ่ามลงมือปลูกตามกระแส หรือตามใจชอบ ตัวอย่างเช่นที่ดินสวนวสาเป็นดินเปรี้ยวเพาะปลูกพืชตระกูลส้ม-มะนาวได้ดี มะม่วง มะละกอได้ แต่ปลูกทุเรียน ลำไย มังคุดแล้วไม่โต (ลองแล้ว) ถึงกระนั้นก็ตามเวลาเรามี “เกษตรเกิน” (ผู้ที่แสดงตนว่ารู้มากกว่าเกษตรกร) มาเยี่ยมที่สวนก็มักจะแนะนำให้เราลองปลูกมังคุด ปลูกทุเรียนอยู่เสมอๆ เพราะส่งนอกได้ราคาดี คนแนะนำส่วนใหญ่ก็คิดแค่นั้น แต่เกษตรกรที่แท้จริงที่เป็นเจ้าของที่ดินควรศึกษาสภาพดินและน้ำก่อนลงมือ ปลูกอะไร เพื่อจะได้ประหยัดเวลาและทุนที่ถมลงไป

2. ควรเลือกพืชที่จะปลูกมากกว่า 1 ชนิดเพื่อบริหารความเสี่ยง เผื่อชนิดหนึ่งราคาตกหรือขายไม่ออก ชนิดอื่นจะได้ช่วยเฉลี่ยรายได้ แต่ไม่ควรหลายชนิดเกินไปจนปริมาณไม่คุ้มค่าขนส่ง เช่น มีที่ดิน 1 ไร่ แต่อยากปลูกมะม่วง มังคุด ลำไย มะนาว พริกขี้หนู เพื่อส่งออก แบบนี้แนะนำว่าให้ลืมเรื่องส่งออกไปได้เลย ให้ปลูกแบบพอเพียง คือเก็บทานเอง หรือส่งตลาดแถวสวนจะดีกว่าครับ

3. พืชแต่ละชนิดมีความต้องการน้ำไม่เท่ากัน หากจะปลูกผสมผสาน ควรเลือกพืชที่ต้องการน้ำ ปุ๋ยและยาคล้ายๆกันปลูกไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ปริมาณแสงก็เป็นสิ่งสำคัญ หากพืชชนิดหนึ่งต้องการแสงมาก ก็อย่าปลูกไว้ใกล้ๆกับพืชที่ให้ร่มเงา เช่น อย่าปลูกมะละกอไว้ใกล้กอไผ่ เพราะในที่สุดร่มเงาของไผ่จะบังมะละกอทำให้ไม่สามารถเติบโตได้ และเกิดโรคระบาดในที่สุด หรือ หากจะปลูกมะนาวทำนอกฤดู ก็ไม่ควรปลูกใกล้กับพืชที่ต้องการน้ำ เพราะพอเรางดน้ำเพื่อให้มะนาวออกดอก ต้นไม้ข้างๆ ก็จะตายไปด้วย ทำนองนี้

4. ตามทฤษฎีพอเพียง ควรปลูกพืชชนิดให้ประโยชน์เกื้อหนุนกับการเกษตรของท่านด้วย เช่น หากปลูกส้มหรือมะนาว ก็ควรเผื่อพื้นที่สำหรับปลูกไผ่ไว้ด้วย เพราะเวลาค้ำต้นมะนาวหรือส้มต้องใช้ไม้ไผ่ แทนที่จะไปซื้อ ก็ปลูกเองประหยัดกว่า นอกจากนี้หากใครคิดทำเกษตรอินทรีย์ ก็ปลูกพวกสะเดา หนอนตายหยาก หรือสมุนไพรอื่นๆไว้ด้วย จะได้เอาไว้ทำเกษตรอินทรีย์ได้ง่าย

5. นอกจากนี้ ให้คิดในใจเสมอว่า พื้นที่แต่ละพื้นที่มีลักษณะภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน อย่าคิดว่าการลอกเลียนแบบสวนที่ประสบความสำเร็จแล้วคุณจะประสบความสำเร็จ ด้วย การเกษตรไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูปที่ต้มกินที่ไหนก็รสชาติเดิม มักจะมีคนถามว่าหากปลูกมะนาวเหมือนสวนวสาต้องใส่ปุ๋ยเดือนไหน ฉีดยาเดือนไหน ฉีดอะไร ซึ่งขอเรียนว่า สวนวสาอยู่นครนายก สภาพภูมิอากาศและดินจะต่างจากสวนที่อยู่ราชบุรี พิษณุโลก หรือ เชียงใหม่ ดังนั้นเวลาที่ฉีดยา ใส่ปุ๋ย เก็บผลผลิตก็จะต่างกัน ช่วงเวลาเดียวกันที่สวนวสาเจอโรคราน้ำค้างแต่สวนอื่นอาจเจอเพลี้ยแป้ง อย่างนี้ยาที่ใช้ก็ต่างกัน ต้องหมั่นสังเกตอาการของพืชแล้วค่อยคิดเรื่องการบำรุงรักษาพืช

การตลาด

1. การจะปลูกอะไร (เพื่อการค้า) ให้คิดว่าจะขายได้ที่ไหนก่อน ถ้าปลูกพืชแปลกมากและอยู่ไกลจากตลาด จะทำให้ขายยาก

2. อย่าเห่อปลูกตามกระแส เกษตรกรที่ดี ควรประเมินสภาพตลาดให้ดีด้วย และอย่าดูเหตุการณ์เพียงจุดเดียว ช่วงปีที่แล้วมะนาวลูกละ 10 บาท เลยเกิดกระแสปลูกมะนาวกันใหญ่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น 5 ปีมีคนฟันมะนาวทิ้งไปทั้งจังหวัดเพราะราคาร้อยละ 20 บาท ไม่คุ้มค่าปุ๋ยค่ายา อยากให้เกษตรกรมองไปข้างหน้ายาวๆ ก่อนตัดสินใจปลูกอะไร ให้เน้นพืชที่ยังไงก็ขายได้

3. หากสนใจจะปลูกเพื่อการส่งออก ควรมีพื้นที่เพาะปลูกในจำนวนมากเกินกว่า 10 ไร่ หากมีน้อยกว่า 10 ไร่ ปลูกขายในประเทศได้ แต่ปลูกส่งออกไม่คุ้มการลงทุน (เว้นแต่ในพื้นที่มีการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดเดียวกันได้จำนวนมากพอ ที่ผู้ส่งออกจะสนใจ) มีระบบน้ำที่สม่ำเสมอ ที่ดินควรอยู่ไม่ไกลจากแหล่งส่งออก เกษตรกรต้องจดมาตรฐาน GAP ซึ่งมีกฎค่อนข้างมาก ต้องมีโรงเก็บปุ๋ย ยา แยกกัน มีโรงคัดแยกพืชผลที่แยกต่างหาก มีพื้นปูนไม่สัมผัสดิน ฯลฯ พวกนี้เป็นการลงทุนทั้งนั้นค่ะ ดังนั้นหากพื้นที่ใหญ่หน่อยจะคุ้มกว่าพื้นที่ขนาดเล็ก

4. อย่าพยายามคิดการณ์ใหญ่เกินไป จะสิ้นเปลืองทุนทรัพย์โดยใช่เหตุ เช่น ปลูกมะม่วงเพียง 5 ไร่ ผลผลิตปีละ 1 ตัน ในพื้นที่ก็ไม่มีคนอื่นเพาะปลูกพืชเหมือนๆกัน แต่คิดจะตั้งโรงงานแช่แข็ง หรือ โรงงานแปรรูปทำมะม่วงอบแห้ง หรือ คิดจะไปเซ้งแผงในตลาดไทเพื่อขายผลผลิตของตนเอง (เพราะมีเกษตรเกินมาแนะนำ) พอขายผลผลิตหมดก็ไม่รู้จะหาผลผลิตที่ไหนมาขายต่อ หรือแปรรูปต่อ จะเป็นการลงทุนโดยเสียเปล่า หรือ การส่งสินค้าเข้าห้างก็เหมือนกัน ควรศึกษาเงื่อนไขให้ถ่องแท้ บางทีนอกจากโดนหักเปอร์เซนต์แล้วเราต้องรับภาระสินค้าที่เน่าเสียหายเอง แถมกว่าจะเก็บเงินได้ต้องมีเครดิต 45 วันจึงจะได้เงิน นอกจากนี้บางที่เขามีสัญญาให้ส่งแบบต่อเนื่อง หากส่งไปครั้งสองครั้งแล้วหยุดก็อาจโดนหักเงิน ทำนองนี้

5. อยากให้อ่านความเห็นของคุณ GolfMBA ที่เขียนไว้น่าสนใจใน http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=5609.msg91870#msg91870

การเตรียมตัว/วางแผน

1. เมื่อมีที่ดินแล้ว มีทุนแล้ว ทราบว่าดินเป็นดินชนิดไหน เข้าใจสภาวะอากาศของพื้นที่แล้ว เลือกพืชที่เหมาะกับพื้นที่ได้แล้ว เราก็เริ่มวางแผนกันครับ อยากให้เกษตรกรทุกคนวางแผนบนกระดาษก่อนว่าจะแปลนสวนของตนเองอย่างไร บ้านจะอยู่ตรงไหน บ่อน้ำ(ถ้ามี) จะอยู่ตรงไหน และส่วนไหนกะว่าจะปลูกพืชอะไร จำนวนกี่ต้น

2. ระบบน้ำเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนจะลงพืชชนิดใดๆ ระบบน้ำควรจะพร้อมก่อน หากพื้นที่เป็นสภาพเนินเขา ก็ไม่เหมาะกับการทำระบบร่องน้ำที่มีน้ำหล่อแบบร่องสวนที่ทำกันในพื้นที่ราบ แต่ควรใช้การขุดทางระบายน้ำเพื่อว่าหน้าฝนน้ำสามารถไหลลงมาได้โดยไม่เอ่อขัง ที่โคนต้นไม้ และใช้ระบบรดน้ำแบบตามท่อน้ำหยดหรือสปริงเกอร์ โดยอาจสูบน้ำไว้ที่สูงและปล่อยมาตามแรงดึงดูดโลก หรือใช้ปั๊มน้ำก็ได้ ส่วนพื้นที่ราบนั้นให้ศึกษาว่าระบบน้ำที่เราใช้เหมาะกับพืชหรือไม่ เช่น หากปลูกมะม่วง มะนาว ในดินเหนียวก็ไม่ควรใช้น้ำหยดแต่ควรใช้สปริงเกอร์ เพราะระบบน้ำหยดจะหยดอยู่แค่วงแคบๆ ในขณะที่รากพืชแผ่ขยาย แต่หากปลูกพวกพริกหรือมะเขือเทศในถุงก็สามารถใช้ระบบน้ำหยด (dripping) ได้ เรื่องการบริหารน้ำนี้มีผลต่อการเติบโตของพืชและคุณภาพผลผลิต นอกจากนี้ มีเกษตรกรพาร์ทไทม์บางคนคิดว่าในช่วงเริ่มต้นไม่ต้องวางระบบน้ำก็ได้ พึ่งฝนฟ้าเอา และให้คนงานลากสายยางรดน้ำเอาก็ได้ พื้นที่แค่ไร่สองไร่เอง ก็อยากให้ทดลองรดน้ำเองดูว่าเหนื่อยแค่ไหน และก็อย่าหวังผลให้มากหากพืชผลออกมาไม่ได้ขนาด หรือร่วงไปแยะ หรือไม่ติดผล ซึ่งอยากให้คิดดีๆ ทีกิ่งพันธุ์เราไปอุตส่าห์เสาะหาจากแหล่งทั่วประเทศได้ ปุ๋ยหมักก็ไปเสาะหาส่วนประกอบต่างๆ มา ลงทุนลงแรงไปมากมาย แต่มาประหยัดกับเรื่องน้ำ แล้วต้นไม้ก็แคระแกร็น มันคุ้มไหม

3. เมื่อระบบน้ำพร้อมแล้ว ก็มาถึงกิ่งพันธุ์ของพืชที่จะลง แนะนำให้ศึกษาจากเวบไซต์เกษตรพอเพียงและหนังสือเกษตรต่างๆ ราคากิ่งพันธุ์พืชชนิดเดียวกัน อาจต่างกันตามผู้ขายค่ะ หากปลูกจำนวนมาก อยากให้ผู้ซื้อแวะไปที่สวนของผู้ขายแต่ละรายจะได้สัมผัสกับต้นพันธุ์ของ จริง รู้ว่าแท้หรือไม่แท้ อย่าดูแต่ในรูป เพราะหากปลูกพันธุ์ไม่แท้จะมีปัญหาเรื่องการตลาด นอกจากนี้ขอเรียนว่าราคากิ่งพันธุ์เป็นเงินลงทุนที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบสัด ส่วนกับต้นทุนรวมทั้งหมดของการเกษตร อยากให้ผู้ซื้อพิจารณาหลักๆ ในเรื่องความเสี่ยงเรื่องความแท้ของสายพันธุ์ บวกกับค่าน้ำมันที่ต้องไปเสาะหากิ่งพันธุ์ที่ต้องการ ก่อนตัดสินใจ

4. การบำรุงรักษา เมื่อปลูกพืชลงไปแล้วแน่นอนว่าจะต้องมีการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ฉีดยา ตัดแต่งกิ่ง เก็บผลผลิต ตัดหญ้าที่รกๆ ในแปลง รวมไปถึงการดูแลในกรณีฉุกเฉินต่างๆ เช่น เครื่องสูบน้ำพัง ไฟฟ้าตัด น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง หนูแทะสายสปริงเกอร์ฯลฯ ดังนั้นหากท่านเป็นเกษตรกรเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องมีคนงานที่ไว้ใจได้ช่วยดูแล และค่าใช้จ่ายส่วนบำรุงรักษานี้ก็มากเสียด้วยสิ ที่สำคัญท่านต้องศึกษาหาความรู้ด้านนี้พอควร ไม่งั้นโดนหลอกน่าดู เช่น หากจะจ้างคนมาตัดหญ้าควรจ่ายเหมาต่องานที่สำเร็จไม่ใช่จ่ายรายวัน เพราะบางทีก็มีอู้งาน

5. อุปกรณ์การเกษตร ที่จำเป็นต้องใช้ในสวนหลักๆ นอกจากพวกจอบ เสียม เครื่องมือพื้นฐานแล้ว ก็มีพวกเครื่องตัดหญ้า เครื่องฉีดยาแบบสะพายหลังหรือแบบลาก ถังหมักหรือผสมปุ๋ย ตะกร้าสำหรับเก็บผลไม้ค่ะ อุปกรณ์การเกษตรพวกนี้เวลาซื้อให้คุยหลายๆ ร้าน แต่ละร้านจะเป็นเอเย่นของแต่ละยี่ห้อแตกต่างกัน ถามความเห็นเพื่อนๆ ในเวบนี้ก็ได้ แต่ละคนจะมีประสบการณ์ในอุปกรณ์หลายๆ แบบ ควรเลือกให้เหมาะกับงานในสวน ที่สำคัญ อย่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย เช่น เครื่องตัดหญ้าแบบสะพายไหล่ ราคามันมีตั้งแต่ 1,000 กว่าบาท - 10,000 กว่าบาท ซึ่งต่างกันมาก ของถูกก็แน่นอนว่าคุณภาพก็ตามราคา ตัดหญ้าสามวันก็อาจจะหลุดเป็นชิ้นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าของแพงสุดจะดีที่สุดเสมอไป ให้ศึกษาจากเพื่อนเกษตรกรคนอื่นดู ที่สำคัญ เวลาซื้ออุปกรณ์พวกนี้ต้องหาที่มีอะไหล่และศูนย์ซ่อมด้วย บางยี่ห้อบอกว่าทนทานแต่คนเอามาขายขายแต่เครื่องอย่างเดียวไม่มีอะไหล่ พอเสียก็ต้องทิ้งเลย นอกจากนี้หากมอเตอร์เสีย เครื่องตัดหญ้าเสียจะซ่อมที่ไหนที่ใกล้ๆ ไม่ต้องขนไปขนมาถึงกรุงเทพ ควรเตรียมข้อมูลแหล่งซ่อมที่เชื่อถือได้ ไม่งั้นโดยฟันเละ

คนงาน

1. ควรมีให้พร้อม แต่อย่าคาดหวังอะไรมากเกินไป เพราะคนงานก็คือคนงาน ถ้าเขาขยันและฉลาดกว่านี้ เขาก็ไม่มาเป็นคนงาน การดูแลคนงานให้อยู่กันนานๆ บางทีก็ต้องหลับตาข้างหนึ่ง บางทีเขาอาจจะกินเหล้า เล่นหวย อู้งานบ้าง ตราบใดที่งานที่สั่งไว้เขาทำสำเร็จ ก็พอไปรอด ที่สำคัญคือต้องไว้ใจได้ ของในสวนอย่าหาย (อาจมีเก็บไปกินบ้างก็ปล่อยๆ ไป) แต่ประเภทยกมอเตอร์ไปขาย หรือให้เมียเปิดแผงที่ตลาดขายผลไม้ที่ขโมยมาจากในสวนเรา อันนี้ก็ต้องให้จรลีไป ที่สวนวสาอนุญาตให้คนงานปลูกพืชผักที่อยากกินได้ตามสบาย หาเมล็ดผักมาให้เขาด้วย ผลไม้ในสวนหากอยากกินก็ให้เอาไปแต่พอกิน แต่ห้ามเอาไปขาย ให้จับปลาในร่องสวนมากินได้ แต่ห้ามจับไปขาย เว้นแต่คนงานจะลงทุนซื้อลูกปลามาเลี้ยงในกระชังเองก็ให้ทำได้แต่ต้องเลี้ยง นอกเวลางาน อยากเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ก็ให้เลี้ยงได้ในพื้นที่จำกัด เขาจะได้เก็บไข่กินได้เอง แต่ไม่อนุญาตให้ทำเพื่อค้าขาย ไม่งั้นวันๆ เอาแต่บำรุงรักษาพืชผักเป็ดไก่ของตัวเองจนไม่ได้ทำงานของเรา

2. ค่าจ้างคนงาน ส่วนมากเราใช้จ้างเป็นรายวัน แต่มีหัวหน้าคนงานที่เราจ่ายเป็นรายเดือน ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 120-180 บาท คนต่างด้าวจะได้ที่ราวๆ 120-150 บาท คนไทยได้ที่ 150-180 บาท หากเกิน 5 โมงเย็นก็จะมีค่าล่วงเวลาให้ (ช่วงที่เร่งเก็บผลไม้และคัดแยก) บางทีคนซื้อผลไม้เราเขาก็จะจ่ายค่าแรงให้คนงานเราในวันที่เก็บผลไม้ให้เขา เราก็ประหยัดไปได้ เช่น การซื้อมะม่วงแบบเหมาสวน พ่อค้าจะมาพร้อมคนงานคัดแยก แล้วเขาจ้างเราเก็บผลไม้ให้ โดยให้ค่าแรงรายวันกับคนงานเรา ค่าจ้างนี่เราอาจปรับขึ้นให้ปีละหน ปลายปีอาจมีเงินแถมให้นิดหน่อยได้

3. วันหยุด คนงานไทยในต่างจังหวัดจะขอมีวันหยุดตามวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันทำบุญทอดกฐิน วันสงกรานต์ วันแต่งงานญาติ วันงานศพญาติ ฯลฯ เรื่องพวกนี้เราต้องปล่อยวาง เกษตรกร part-time หลายคนอาจไม่ค่อยพอใจเพราะตรงกับวันหยุดยาวที่เราจะเข้าสวนได้พอดีเช่นกัน ก็ต้องทำใจ นอกจากนี้ วันหวยออก เป็นวันที่คนงานไม่ค่อยมีกะจิตกะใจทำงานกันเท่าไหร่ ดังนั้น พยายามอย่าคาดหวังมาก คุยกันให้เข้าใจตั้งแต่เริ่มงาน จะทำให้ความรู้สึกดีทั้งสองฝ่าย

การหาความรู้เพิ่มเติม

1. เป็นเกษตรกรต้องหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ซึ่งแหล่งความรู้ที่ง่ายที่สุด เร็วที่สุด และไม่เสียเงินคือการหาตามเวบไซต์ แค่เข้าไปที่ google แล้วคีย์คำที่ต้องการทราบ เช่นคำว่า โรคมะนาว หรือ มะละกอใบหงิก ก็จะปรากฏรายการเวบต่างๆ ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคำที่ท่านคีย์เข้าไปมาให้ท่านได้ลองเข้าไปอ่าน หากไม่เจอข้อมูลที่ต้องการค่อยมาตั้งกระทู้สอบถามเพื่อนๆเกษตรกรท่านอื่น เพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลต่างๆ บนเวบอาจจะมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปบ้างแล้วแต่เวบไซต์ที่เปิดเจอ เช่น เจอเวบขายปุ๋ยข้อมูลที่ออกมาอาจชี้นำไปสู่การซื้อปุ๋ยยาของเขา ดังนั้น อยากให้เกษตรกรเชื่อข้อมูลในเวบไซต์ของทางการเป็นหลัก เช่น เวบของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (http://www.ku.ac.th/) เวบของกรมส่งเสริมการเกษตร (http://www.doae.go.th/) เป็นต้น เวบเหล่านี้มีข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย หลายเวบมีรูปภาพประกอบด้วย อยากให้เกษตรกรได้ลองขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเองจากหลายๆแหล่งข้อมูล จะได้คิดวิเคราะห์ได้รอบทิศ ดีกว่าการมาตั้งกระทู้ถามเพียงอย่างเดียว ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าผู้ตอบแต่ละคนมีความรู้ในด้านนั้นๆ จริงหรือไม่ บางเรื่องแม้ผู้ตอบมีความประสงค์ดี แต่ตอบเอาตามที่นึก (เอาเอง) ว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้นโดยไม่มีประสบการณ์หรือหลักวิชาการสนับสนุน แล้วเกษตรกรไปทำตาม ผู้ที่เสียหายคือเกษตรกร

2. นอกจากเวบไซต์แล้ว ก็มีหนังสือและวารสารเกษตรต่างๆ ที่สามารถหาอ่านเพิ่มความรู้ได้ เช่น วารสารเคหเกษตร วารสารเมืองไม้ผล วารสารเทคโนโลยีชาวบ้าน เป็นต้น สวนวสาได้มีโอกาสไปเยือนสวนเกษตรต่างๆ เพื่อเสาะหาพันธุ์พืชที่ต้องการก็ใช้ดูเอาตามวารสารพวกนี้ บางทีเขาก็มีการจัดอบรมให้ฟรีๆ มีวิทยากรที่มีความรู้มาพูด มีเพื่อเกษตรกรที่มีประสบการณ์มาแบ่งปันเทคนิค เราก็จะได้ประโยชน์ แต่ไม่ใช่ว่าวารสารทุกเล่มจะจัดงานได้ดี สวนวสาเคยไปร่วมงานหนึ่งเป็นการอบรมครึ่งวัน แต่กว่าการกล่าวเปิดงานของบุคคลสำคัญต่างๆที่เชิญมาจะหมดก็ปาเข้าไปเกือน 10 โมงแล้ว แล้วยังพักเบรคยาวๆ ให้คนที่มาอบรมไปซื้อของที่สปอนเซอร์ต่างๆ มาออกร้านขาย ในที่สุดได้ฟังคนบรรยาย (แบบรีบๆ ให้จบ) แค่ไม่ถึงชั่วโมง เสียเวลาไปเหมือนกัน

3. หนังสือเกี่ยวกับคู่มือการเกษตรต่างๆ รวมถึงผลงานวิจัยบางงานที่มีประโยชน์ มีจำหน่ายที่ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ศูนย์หนังสือจุฬา ที่ร้านหนังสือแพร่พิทยา และตามงานเกษตรแฟร์ นอกจากนี้ยังมีแจกให้ฟรีโดยกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัด อำเภอ และหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน ลองติดต่อขอไปดูได้

ความต้องการ กับ ความเป็นจริง

ผู้ ที่อยากเป็นเกษตรกรหลายท่านที่ทำงานประจำอยู่ ควรพิจารณาบริหารเวลา ครอบครัว และทุนทรัพย์ให้รอบคอบก่อนลงมือ บางทีเรามาอ่านๆ ในเวบต่างๆ เห็นคนอื่นเขาซื้อที่ดินกัน ลงมือทำกัน ก็เกิดแรงบันดาลใจอยากทำบ้าง แต่นั่นอาจเป็นความต้องการของคุณคนเดียวหรือเปล่า ลองดูปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้

+ เวลา - คุณทำงานประจำในวันเสาร์อาทิตย์หรือเปล่า เพราะการเป็นเกษตรกร part-time นั้นอย่างน้อยต้องมีเวลาเสาร์-อาทิตย์ที่จะไปดูแลพืชผลที่ปลูกได้ หรือหากทำงานส่วนตัว ก็ต้องถามว่าสามารถจัดเวลาได้หรือเปล่าที่จะหาเวลาว่างแวะเวียนไปดูแลการ เติบโตของพืชผล และแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หลายๆ คนไฟแรงแต่ตอนแรกๆ พอสักห้าหกเดือนผ่านไป ก็ทิ้งระยะเสียแล้ว จากทุกอาทิตย์ เป็นเดือนละหน เป็นสองเดือนหน ในที่สุดเหลือปีละหน อย่างนี้สิ่งที่ลงทุนไปก็จะเสียเปล่า การทำเกษตรนั้นคนทำต้องมีความรับผิดชอบ (discipline) ที่ต่อเนื่อง ยิ่งถ้าที่ดินอยู่ไกลจากที่บ้านหรือที่ทำงานมากๆ อย่างที่เขียนไว้แล้วด้านบน ว่าส่วนใหญ่เจอค่าน้ำมันและเวลาขับรถไปก็จะท้อใจในที่สุด

+ ครอบครัว - เป็นสิ่งสำคัญ การซื้อที่ดินทำเกษตรนี่ครอบครัวทางบ้านต้องสนับสนุน เพราะบางครั้งเป็นความต้องการเฉพาะของคุณพ่อบ้านอย่างเดียว แต่ครอบครัวทางบ้านไม่สนับสนุน เพราะเคยได้ยินคุณแม่บ้านบ่นว่าเสาร์อาทิตย์แทนที่จะได้พาลูกไปเรียนพิเศษ หรือได้ไปท่องเที่ยวกันตามแหล่งท่องเที่ยว ก็ต้องไปใช้ชีวิตกลางแดดร้อนๆ ขุดดิน ปลูกพืช เรื่องแบบนี้คุณแม่บ้านบางคน และเด็กๆ ไม่เข้าใจ  อยากให้ทำความเข้าใจกันในบ้านให้เรียบร้อยก่อน เพราะไม่งั้นอาจมีปัญหาภายในครอบครัวได้

+ ทุน - สะสมมาพอไหม เวลาคำนวณเงินลงทุน คิดให้รอบคอบ นอกจากค่าที่ดิน ค่าคนงาน ค่ากิ่งพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าระบบน้ำ ค่าอุปกรณ์การเกษตรต่างๆ แล้ว คิดได้เท่าไหร่ ให้คูณ 3 ไว้ก่อนเลย เพราะจริงๆ มันจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คุณไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกมากๆๆๆๆๆ และถ้าเงินสะสมของคุณไม่มากพอ นำไปสู่การเป็นหนี้สินเพื่อนำมาลงทุน มันจะไม่ยั่งยืน

******************************************************************************
พืชพลังงาน หรือ พืชอาหาร หรือ สวนป่า

จากปัจจัยเรื่องเวลา ครอบครัว และทุนที่พูดถึงด้านบน ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกชนิดพืชเพื่อทำสวนเกษตรเบื้องต้น ดังนี้

สวน ป่า - ถ้าที่ดินอยู่ไกล เวลามีน้อย ภาระครอบครัวมีมาก ทุนมีกลางๆ ในช่วง 5-10 ปีนี้ แต่อยากเริ่มแล้ว ก็อยากให้พิจารณาเริ่มที่การทำสวนป่าไปก่อน คือ ปลูกพืชที่ตัดไม้ขายในภายหลัง เช่น สน ยูคา สัก หรือไม้ป่าอื่นๆ เพราะจะหนักแค่ช่วงปรับปรุงดินแรกๆ พอต้นกล้าตั้งหลักได้แล้ว ก็ผ่อนภาระการไปดูแลบ่อยๆ ไป 5 - 10 ปี เช่นไปเดือนละหน หรือ สองเดือนหน ก็ได้ แต่ต้องไปครับ ไม่งั้นเพื่อนบ้านอาจจะมาบุกรุกเขาไปปลูกอะไรต่อมิอะไรเป็นการบันเทิงไป เราเจอมาแล้วกับที่ดินของเราที่อยู่ไกลๆ ไม่ค่อยได้ไปสามสี่เดือน มีสวนพริก สวนถั่ว เกิดขึ้นมาในที่ดินเราเฉยเลย ดีไม่ดีต้นกล้าที่เราปลูกไว้อาจเจอพืชอื่นเบียดเบียนตายไปก็ได้ หรือไม่ก็เจอมาแล้ว ที่ชาวบ้านเข้าไปจุดคบไฟหาหนู แล้วทำไฟไหม้สวนเราไปครึ่งสวน พวกสวนป่านี่ช่วงท้ายๆ ต้องเฝ้ากันดีๆ ด้วยเพราะไม่งั้นชาวบ้านแอบมาตัดไม้เราไปขาย ก็มี

พืชอาหาร - ต้องการเวลาอย่างมาก อย่างที่เขียนมาแล้วว่าผู้ปลูกต้องมีความสม่ำเสมอในการไปดูแล เพราะไม่งั้นเผลอแป๊บเดียวโรคหรือแมลงลง ต้นไม้อาจจะตายไปทั้งสวนก็ได้ ฝากคนงานเขาก็คงไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะไม่ใช่สวนของเขา พืชอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ พืชตระกูลธัญพืช หรือผักต่างๆ ต้องดูแลใกล้ชิด นอกจากนี้ช่วงเก็บผลผลิตก็ต้องคอยหาตลาดให้ดี วางแผนการเก็บให้ดี การขนส่ง การเก็บรักษาอีก หากเกษตรกรยังไม่พร้อมก็แบ่งที่ดินปลูกเฉพาะที่พอกินเองไปก่อน ส่วนที่ดินที่เหลือก็ปลูกไม้ยืนต้นพวกสวนป่าไปก่อน

พืชพลังงาน - พลังงานกำลังขาดแคลน คนเลยเห่อปลูกพืชพลังงานกันใหญ่ ตั้งแต่พวกมัน อ้อย ปาล์ม สบู่ดำ ฯลฯ ราคาก็ขึ้นลงตามที่เราเห็นๆ  พืชน้ำมันนี่มันแทนที่พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหาร เวลานี้ทั่วโลกกำลังมีประเด็นเรื่องอาหารขาดแคลน เพราะหลายประเทศที่เคยทำเกษตรกรรมอาหาร เช่น มาเลย์ อินโด บราซิล อาร์เจนติน่า หันไปปลูกพืชพลังงานและยางพารากันใหญ่ ในระยะยาวแล้วราคาพืชอาหารจะแซงพืชพลังงาน สวนวสาจึงอยากเชียร์ให้ทุกคนกัดฟันปลูกพืชอาหารกันไปก่อน และจะให้ข้อคิดสำหรับคนที่อยากปลูกพืชน้ำมันว่าควรอยู่ใกล้แหล่งรับซื้อ เช่นปลูกปาล์มควรอยู่ใกล้ๆ โรงกลั่น หากมีหลายๆ โรงในพื้นที่ยิ่งดี ไม่งั้นเก็บผลผลิตแล้วส่งไม่ได้ก็จะเสียหายมาก เราจะเห็นว่าบางทีพอราคาขึ้นและน้ำมันที่กลั่นแล้วยังขายไม่ได้ บางโรงกลั่นเขาปิดไม่รับซื้อก็มี หากมีตัวเลือกก็จะดี เพราะพืชน้ำมันนี่เอาไปวางขายตามตลาดก็ไม่ได้ กินเองก็ไม่ได้ ต้องขายเข้าผู้แปรรูปอย่างเดียวเลย


หวังใจอยากให้เป็นบทความที่ช่วยเพื่อนๆ ที่อยากเป็นเกษตรกร แล้วไม่รู้จะเริ่มที่ไหนดี ได้นำไปใช้ประโยชน์

วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง

มะม่วงสายพันธุ์ใหม่ "มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง" ไม่ได้พ่นสีหรือย้อมสีแต่อย่างไร !


ของแท้ต้องแบบนี้ ! มะม่วงสายพันธุ์ใหม่ "มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง" ไม่ได้พ่นสีหรือย้อมสีแต่อย่างไร !
เพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมว่าผลไม้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ ทำไมมันจึงมีชื่อเรียกที่บางทีก็ไม่ค่อยเข้ากับลักษณะของมัน อย่างเช่น มะม่วง ทำไมถึงเป็นสีเขียว...แต่ว่าต่อไปนี้ ทุกคนไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป เพราะตอนนี้เกษตรกรที่จังหวัดนนทบุรี สามารถเพาะพันธุ์มะม่วงที่มีสีม่วงจริง ๆ ได้แล้วล่ะ



โดยเฟซบุ๊กเพจ ดร.พนม ปีย์เจริญ Official ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้เพาะพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้ชนิดใหม่ที่มีลักษณะพิเศษคือ ลักษณะของผลจะเป็นสีม่วง โดยมะม่วงสีม่วงนี้เกิดจากการผสมเกสรของมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ปากน้ำ กับมะม่วงหงจูของไต้หวัน และนำไปเพาะปลูกจนทดสอบมั่นใจแล้วว่า มะม่วงพันธุ์ใหม่นี้ คือมะม่วงที่มีสีม่วงจริง ๆ โดยตั้งชื่อพันธุ์ว่า มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง นั่นเอง



"มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง" กับที่มาสายพันธุ์
มะม่วงชนิดนี้ เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ของ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ด้วยวิธีผสมเกสร ระหว่างมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 ปากน้ำ กับมะม่วงหงจูของไต้หวัน จากนั้นนำเอาเมล็ดที่ได้จากผลสุกหลายเมล็ด ไปเพาะเป็นต้นกล้าปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าผลดกมาก รูปทรงผลเหมือนกับผลมะม่วงน้ำดอกไม้พันธุ์พ่อ ส่วนสีผลไม่เป็นสีเขียว แต่จะเป็นสีม่วงตั้งแต่ติดผลอ่อนขนาดเล็ก กระทั่งผลแก่และสุกคล้ายสีของมะม่วงหงจู ซึ่งเป็นพันธุ์แม่ และสีจะเข้มกว่าอย่างชัดเจน ทำให้ดูสวยงามมาก ทางศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรฯ ได้ปลูกทดสอบพันธุ์จนมั่นใจว่าเป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่อย่างแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อประจำพันธุ์ว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขาย กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้
มะม่วงน้ำดอกไม้สีม่วง มีข้อโดดเด่นคือ ผลเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักเฉลี่ยระหว่าง 0.8-1.2 กิโลกรัมต่อผล ผลดิบรสเปรี้ยวไม่มากนัก ปอกเปลือกฝานบาง ๆ จิ้มพริกเกลือป่น หรือจิ้มน้ำปลาหวานอร่อยดี ผลสุกหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ เมล็ดบางเล็ก เนื้อเหนียวแน่นไม่เละ กินกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยได้คุณค่าทางโภชนาการไม่แพ้มะม่วงกินสุกทั่วไปแม้แต่น้อย เป็นมะม่วงติดผลเรื่อย ๆ เกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ใคร ต้องการกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอด ติดต่อศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โทร. 08–1806–5513

ข้อมูลและภาพจาก kapook